Deep Learning คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น
เมื่อโทรศัพท์ของคุณจดจำใบหน้าได้ในเสี้ยววินาที เมื่อ Google Translate แปลภาษาไทยเป็นอังกฤษได้อย่างแม่นยำ หรือเมื่อ ChatGPT สร้างคำตอบที่เหมือนมนุษย์ — นั่นคือ Deep Learning กำลังทำงานอยู่ มันคือเทคโนโลยีเบื้องหลังความก้าวหน้าด้าน AI เกือบทุกอย่างในทศวรรษที่ผ่านมา และกำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คอมพิวเตอร์สามารถทำได้
Deep Learning คืออะไร?
Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) คือสาขาย่อยของ Machine Learning ที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) หลายชั้นเพื่อเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล คำว่า "Deep" หมายถึงความลึกของชั้นต่างๆ ในโครงข่ายประสาทเทียม — ตั้งแต่เครือข่ายง่ายๆ 3 ชั้น ไปจนถึงโมเดลขนาดใหญ่ที่มีหลายร้อยชั้น
ลองคิดแบบนี้:
- Traditional Programming: มนุษย์เขียนกฎอย่างชัดเจน
- Machine Learning: คอมพิวเตอร์เรียนรู้รูปแบบจากข้อมูล
- Deep Learning: คอมพิวเตอร์เรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนผ่านหลายชั้นของการสกัดความหมาย
โดยพื้นฐาน Deep Learning:
- เรียนรู้ การแทนค่าแบบลำดับชั้นจากข้อมูลดิบ
- ค้นพบ คุณลักษณะโดยอัตโนมัติ (ไม่ต้องกำหนด Feature ด้วยมือ)
- จัดการ ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างเช่น รูปภาพ เสียง และข้อความ
- ขยายขนาด ได้ตามข้อมูลและพลังการประมวลผลที่เพิ่มขึ้น
การเปรียบเทียบง่ายๆ
ลองนึกภาพการสอนเด็กให้รู้จักแมว:
- Traditional Programming: ระบุทุกกฎ (มีขน สี่ขา หูแหลม มีหนวด...)
- Machine Learning: แสดงตัวอย่างและให้เด็กหารูปแบบเอง
- Deep Learning: เด็กเรียนรู้ขอบก่อน → จากนั้นรูปทรง → จากนั้นส่วนต่างๆ ของร่างกาย → สุดท้ายคือแมวทั้งตัว
แต่ละชั้นสร้างต่อจากชั้นก่อนหน้า เรียนรู้แนวคิดที่เป็นนามธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
Deep Learning ทำงานอย่างไร

โครงสร้างของโครงข่ายประสาทเทียม
1. Input Layer (ชั้นนำเข้า)
- รับข้อมูลดิบ (พิกเซล คำ ตัวเลข)
- แต่ละโหนดแทนหนึ่งคุณลักษณะหรือค่าอินพุต
2. Hidden Layers (ชั้นซ่อน — ส่วน "Deep")
- หลายชั้นที่แปลงข้อมูล
- แต่ละชั้นเรียนรู้ระดับการสกัดความหมายที่แตกต่างกัน
- ยิ่งมีหลายชั้น = เครือข่ายยิ่งลึก = เรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น
3. Output Layer (ชั้นผลลัพธ์)
- สร้างการทำนายสุดท้าย
- อาจเป็นป้ายกำกับประเภท ความน่าจะเป็น หรือเนื้อหาที่สร้างขึ้น
กระบวนการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 1: Forward Propagation (การส่งผ่านไปข้างหน้า)
ข้อมูลไหลจาก input → ผ่าน hidden layers → ไปยัง output
แต่ละ neuron ใช้: output = activation(weights × inputs + bias)
ขั้นตอนที่ 2: Calculate Loss (คำนวณความผิดพลาด)
เปรียบเทียบการทำนายกับคำตอบจริง
Loss = ความผิดพลาดของการทำนาย
ขั้นตอนที่ 3: Backpropagation (การส่งผ่านย้อนกลับ)
คำนวณว่าแต่ละ weight มีส่วนในความผิดพลาดอย่างไร
ส่งความผิดพลาดย้อนกลับผ่านเครือข่าย
ขั้นตอนที่ 4: Update Weights (ปรับค่า Weights)
ปรับค่า weights เพื่อลดความผิดพลาด
ใช้อัลกอริทึมการปรับค่าเช่น SGD หรือ Adam
ขั้นตอนที่ 5: Repeat (ทำซ้ำ)
เทรนด้วยตัวอย่างนับพัน/ล้าน
จนกว่าโมเดลจะมีความแม่นยำที่ดี
ประเภทของสถาปัตยกรรม Deep Learning

1. Convolutional Neural Networks (CNN)
เหมาะสำหรับ: รูปภาพ วิดีโอ งาน Computer Vision
ทำงานอย่างไร:
- ใช้ convolutional filters ตรวจจับรูปแบบ
- เรียนรู้ขอบ → พื้นผิว → รูปทรง → วัตถุ
- รักษาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ในข้อมูล
การประยุกต์ใช้:
- การจำแนกรูปภาพ (แมว vs สุนัข)
- การตรวจจับวัตถุ (หาใบหน้าในรูป)
- OCR (อ่านข้อความจากรูป)
- การวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์
ใช้ใน: Thai OCR, Face Recognition ของ iApp
2. Recurrent Neural Networks (RNN/LSTM)
เหมาะสำหรับ: ข้อมูลลำดับ อนุกรมเวลา เสียงพูด
ทำงานอย่างไร:
- มี "ความจำ" ของอินพุตก่อนหน้า
- ประมวลผลลำดับทีละองค์ประกอบ
- LSTM แก้ปัญหา vanishing gradient
การประยุกต์ใช้:
- การรู้จำเสียงพูด
- การสร้างโมเดลภาษา
- การทำนายอนุกรมเวลา
- การสร้างเพลง
ใช้ใน: Speech-to-Text ของ iApp
3. Transformers
เหมาะสำหรับ: การประมวลผลภาษาธรรมชาติ LLMs สมัยใหม่
ทำงานอย่างไร:
- ใช้กลไก "attention" ให้น้ำหนักความสำคัญของอินพุตทั้งหมด
- ประมวลผลลำดับทั้งหมดพร้อมกัน (เร็วกว่า RNN)
- Self-attention จับความสัมพันธ์ระยะไกล
การประยุกต์ใช้:
- โมเดลภาษา (GPT, BERT, LLaMA)
- การแปลภาษาด้วยเครื่อง
- การสร้างข้อความ
- การตอบคำถาม
ใช้ใน: Chinda Thai LLM, Translation API ของ iApp
4. Generative Adversarial Networks (GAN)
เหมาะสำหรับ: การสร้างเนื้อหาใหม่ การสังเคราะห์รูปภาพ
ทำงานอย่างไร:
- สองเครือข่ายแข่งขันกัน: Generator vs Discriminator
- Generator สร้างข้อมูลปลอม; Discriminator พยายามตรวจจับของปลอม
- การแข่งขันทำให้ทั้งสองดีขึ้นจนกว่า Generator จะสร้างผลลัพธ์ที่สมจริง
การประยุกต์ใช้:
- การสร้างรูปภาพ
- การถ่ายโอนสไตล์
- การเพิ่มข้อมูล
- Deepfakes
5. Autoencoders
เหมาะสำหรับ: การบีบอัด การตรวจจับความผิดปกติ การลดสัญญาณรบกวน
ทำงานอย่างไร:
- Encoder บีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง
- Decoder สร้างข้อมูลต้นฉบับจากรูปแบบที่บีบอัด
- บังคับให้เครือข่ายเรียนรู้คุณลักษณะที่สำคัญ
การประยุกต์ใช้:
- การลดมิติ
- การตรวจจับความผิดปกติ
- การลดสัญญาณรบกวนในรูปภาพ
- การเรียนรู้คุณลักษณะ
คำศัพท์ Deep Learning ที่สำคัญ (อธิบายศัพท์เทคนิค)
1. Neuron (โหนด)
คืออะไร: หน่วยคำนวณพื้นฐานในโครงข่ายประสาทเทียมที่รับอินพุต ใช้น้ำหนักและฟังก์ชัน จากนั้นส่งออกค่า
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนเซลล์สมองที่ทำงานเมื่อได้รับสัญญาณเพียงพอจากเซลล์ที่เชื่อมต่อ
สูตร: output = activation(sum(weights × inputs) + bias)